บัวขาวบัญชาเมฆ เจ้าตำนานมวยไทย
บัวขาว บัญชาเมฆเป็นใครกันนะ ซูเปอร์สตาร์ด้านกีฬาการต่อสู้อย่างบัวชาว บัญชาเมฆเป็นหนึ่งในดาวเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์วงการมวยไทยและคิกบ็อกซิง นักออกอาวุธชาวไทยผู้นี้ได้ต่อสู้มาแล้วทั่วโลก การันตีว่าตัวเขาคือตำนานที่ยังมีชีวิต บัวชาวกลายเป็นเป็นแรงบันดาลใจและไอคอนสำหรับนักชกรุ่นน้องให้ได้ดำเนินรอยตาม
เส้นทางการเป็นนักชกของบัวขาวเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งการหักหลังกว่าจะมาเป็นตำแหน่งแชมป์โลก
แม้จะขึ้นสังเวียนมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ แต่นักชกสัญชาติไทยผู้นี้ก็ยังไม่แขวนนวม เรียกได้ว่าบัวขาว บัญชาเมฆคือตำนานที่ยังมีลมหายใจ และยังเคยต่อสู้ต่อหน้าพระพักตร์ของราชวงศ์ไทยมาแล้วอีกด้วย สถิติของเขาทั้งในกติกามวยไทยและคิกบ็อกซิ่งชนะรวมกัน 240 ครั้ง แพ้ 24 ครั้ง และเสมอ 14 ครั้ง
ชื่อ | บัวขาว บัญชาเมฆ |
ชื่อจริง | สมบัติ บัญชาเมฆ |
วันเกิด | 8 พฤษภาคม 2525 |
สถานที่เกิด | อำเภอสำโรงทับ จังหวัดสุรินทร์ |
ฉายา | บัวขาว, ทองดำ |
ค่ายมวย | ป.ประมุข (2540-2555), ค่ายบัญชาเมฆ (2555-ปัจจุบัน) |
ปีที่ชกมวย | 2540-ปัจจุบัน |
ส่วนสูง | 174 เซนติเมตร (5” 8.5’) |
น้ำหนัก | 71.5 กิโลกรัม (158 ปอนด์หรือ 11.26 สโตน) |
รุ่นชก | Featherweight, Lightweight, Welterweight, Middleweight |
แชมป์ | แชมป์โลก 20+ แชมป์ |
แม้จะมีภาพลักษณ์ในประเทศไทยเป็นนักมวยไทย แต่ความสำเร็จส่วนมากของบัวขาวมาจากการชกภายใต้กติกาคิกบ็อกซิง โดยเขาได้ขึ้นสังเวียนในยุคทองของคิกบ็อกซิง และดวลหมัดกับนักสู้ชั้นนำของ K-1 มาแล้วมากมาย
วัยเด็กของบัวขาวบัญชาเมฆ
บัวขาวเริ่มประกอบอาชีพเป็นนักมวยไทยตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 7 ปีเต็ม เมื่อเขาได้ประลองฝีมือบนเวทีใกล้บ้านในจังหวัดสุรินทร์ นักกีฬาเด็กผู้นี้ก็ได้แรงบันดาลใจในการพัฒนาฝีมือให้เป็นนักมวยเต็มตัว
ปัจจุบันบัวขาวได้ขึ้นชกมาแล้วทั้งหมดเกือบ 300 ไฟท์ โดยที่ในวัยเด็กก็ได้ต่อสู้มาหลายไฟท์แต่ไม่มีบันทึกไว้ บัวขาว บัญชาเมฆกล่าวในบทสัมภาษณ์หนึ่งว่า เขาชกชนะไฟท์แรกเมื่อเขาอายุ 7 ปี และได้เงินตอบแทนประมาณ 100 บาท ช่วงอายุ 7-12 ปี บัวขาวชนะทั้งหมดกว่า 100 ไฟท์แต่ไม่มีไฟท์ไหนเลยที่ถูกบันทึกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งผลชนะในช่วงวัยเด็กนี้ไม่รวมอยู่ใน 300 ไฟท์ที่กล่าวถึงในข้างต้นแต่อย่างใด เรียกได้ว่าชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นนักกีฬาการต่อสู้อย่างแท้จริง
เพราะอะไรบัวขาวบัญชาเมฆถึงโดดเด่นเหนือเมฆ
บัวขาว บัญชาเมฆประสบความสำเร็จพอประมาณในช่วงที่เริ่มเส้นทางการชก โดยได้ตำแหน่งแชมป์เวทีอ้อมน้อยและโตโยต้ามวยไทยทัวร์นาเมนต์ แต่ต่อให้ได้ครองเข็มขัดไป 2 เส้น ก็ไม่สามารถคว้าตำแหน่งแชมป์เวทีลุมพินีซึ่งเป็นเวทีมาตรฐานหลักเวทีใหญ่ของไทยได้
ในปี 2004 บัวขาวยังเป็นนักชกที่เวทีโลกไม่รู้จัก แต่เมื่อเขาเปิดตัวในการต่อสู้ K-1 Kickboxing World MAX Grand Prix ถือเป็นการแจ้งเกิดของเขาเลยทีเดียว บัวขาวเป็นมวยเตะอยู่แล้ว ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในกีฬาคิกบ็อกซิง
บัวขาวมีสไตล์การเตะที่หนักหน่วง ทำให้ทั้งโลกตะลึงได้ในปี 2004 ด้วยการไม่แพ้ในนัด K-1 MAX World Grand Prix นัดแรกของเขา จากนั้นเขาสามารถชนะนักสู้ชันน้ำอย่างแชมป์คิกบ็อกซิ่งชาวญี่ปุ่น ทากายูกิ โคฮิรุอิมากิ รวมถึงจอห์น เวย์น พารร์ ไอคอนมวยไทย และมาซาโต้ โคบายาชิ มือหนึ่งตลอดกาลในรอบชิงชนะเลิศได้
ด้วยเข็มขัดแชมป์โลกเส้นนี้ทำให้วงการกีฬาการต่อสู้ทั้งทั่วโลกและในประเทศไทยเริ่มสังเกตเห็นบัวขาวขึ้นมา
K-1 MAX World Grand Prix ปี 2005 หลังชนะไร้พ่ายสามนัดติดกัน ในแมทช์สุดท้ายเขาต้องพบกับคิกบ็อกเซอร์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ อย่างแอนดี้ ซูเวอร์ จากเนเธอร์แลนด์ ซูเวอร์และบัวขาวสู้กันดุเดือดจนเสมอ และต้องชกต่ออีกสองยกเพื่อให้ได้ผลการแข่งขันอย่างชัดเจน โดยในนัดนั้น ซูเวอร์ชาวดัตช์ได้ชนะไปอย่างฉิวเฉียด
ต่อมาในการแข่งขัน K-1 MAX World Grand Prix ปี 2006 บัวขาวตั้งใจประกาศตนให้โลกรู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ พอเขาชนะได้สามครั้งรวด ซูเวอร์และบัวขาวจากไทยก็พบกันอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ
ครั้งนี้บัวขาวไม่รอให้ถึงมือกรรมการตัดสินด้วยคะแนน เขามาเพื่อแก้แค้นให้การความพ่ายแพ้เมื่อปีก่อนหน้า เพราะครั้งนี้เขามาเพื่อชิงเข็มชัดแชมป์ K-1 Kickboxing จึงปิดเกมด้วยการชนะน็อกไปในยกที่สอง
จากนั้นบัวขาวก็เริ่มกลายเป็นตำนาน การชนะแชมป์ K-1 MAX World Grand Prix สองครั้งนับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในยุคนี้ แต่ระหว่างทัวร์นาเมนต์ K-1 นักเตะชาวไทยผู้นี้ก็ยังมีงานรัดตัวและขึ้นชกหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่ยอมให้ชื่อเสียงเป็นตัวตัดสินว่าคู่ต่อสู้รายต่อไปจะเป็นใคร เขาไม่เลือกเฉพาะนักสู้ที่มีโปรไฟล์ดีอย่างเดียว เขามีหัวใจของนักสู้และเต็มใจเสี่ยงเสมอ
ระหว่างทัวร์นาเมต์ K-1 บัวขาว บัญชาเมฆรับคำท้าชกกับตำนานมวยไทยชาวฝรั่งเศส Jean-Charles Skarbowsky, สุดยอดนักชกคิกบ็อกซิ่งชาวกรีก Mike Zambidis, ว่าที่แชมป์โลกคิกบ็อกซิง Nieky Holzken, และสุดยอดนักชกแห่งยุคสมัยอย่าง Giorgio Petrosyan ซึ่งนั่นเป็นช่วงยุคที่ท้าทายเหลือเกินสำหรับนักชกคิกบ็อกซิ่ง แต่บัวขาวก็อยากสู้กับทุกคน แม้จะไม่อยู่ในรอบชกของทัวร์นาเมนต์ก็ตาม
การฟิตซ้อม
บัวขาวทำเอาโลกตะลึงจากการที่เขาสามารถต่อสู้ได้หลายไฟท์รวดในคืนเดียวระหว่างทัวร์นาเมนต์ โดยที่ต้องต่อยกหลายไฟท์ด้วยซ้ำ ในการชนะของเขาในปี 2004 เขาชกถึงสิบยกใน สามไฟท์ภายในคืนเดียว ส่วนในปี 2005 บัวขาวได้ชกไปทั้งหมด 11 ยกในคืนเดียว และปี 2006 ก็ชกไป 7 ยกใน 3 ไฟท์ ภายในวันเดียวเช่นกัน
ตารางขึ้นชกระหว่างทัวร์นาเมนต์แน่นขนาดนี้ บัวขาวต้องฟิตซ้อมอย่างเต็มที่ที่สุด เขามีตารางการฟิตซ้อมที่ยิ่งช่วยต่อยอดความทุ่มเทที่เขามีให้กีฬาการต่อสู้ขึ้นไปอีก
บัวขาวจะตื่น 5:30 น. และเริ่มอบอุ่นร่างกาย ก่อนออกวิ่ง 6-10 ไมล์หรือประมาณ 9-16 กิโลเมตร เมื่อหัวใจทำงานสูบฉีดเลือดดีและกล้ามเนื้อพร้อมออกแรงแล้ว บัวขาวก็จะตรงดิ่งเข้าโปรแกรมการเทรนทันที
การฝึกซ้อมที่ว่านี้มีกิจกรรมสุดทรหดมากมาย เช่น ชกเป้าและเตะกระสอบ 15 ยก, การออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและสมรรถนะ รวมถึงฝึกปล้ำอย่างดุเดือด หรือซ้อมเชิงมวยกับคู่ซ้อม
พอเวลาประมาณ 15:00 น. บัวขาวจะออกวิ่งอีกรอบเพื่อเติมความมุ่งมั่นและรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตพร้อมไร้ที่ติ พอจบการวิ่งรอบสอง บัวขาว บัญชาเมฆก็จะซ้อมปกติอีกครั้ง เพื่อให้ซ้อมครบ 15 ยก ตารางการฝึกซ้อมนี้จะจบที่เวลาประมาณ 20:00 น. ให้พอมีเวลากินอาหารเย็นอร่อยๆ ที่รอคอยขาคู่ควร
เมื่อบัวขาวถูกหักหลัง
เมื่ออายุ 12 ปี บัวขาว บัญชาเมฆเริ่มฝึกซ้อมที่ค่อย ป.ประมุข ที่มีนักชกเก่งๆ มากมาย เช่น นำศักดิ์น้อย โชคดี และคนอื่นๆ ความสำเร็จระดับโลกส่วนมากของบัวขาวก็มาจาตอนที่ยังอยู่ค่ายมวยนี้นี่เอง
ในปี 2012 หลังเก็บแชมป์โลกมาได้หลายสมัยภายใต้สังกัดค่าย ป.ประมุข บัวขาวก็ตัดสินใจออกจากค่ายนี้ แม้บัวขาวไม่ออมาพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ผู้เชี่ยวชาญวงในหลายคนอธิบายว่า แม้เขาจะสำเร็จจนมีชื่อเสียงระดับโลก แต่เขาออกจ่ายค่ายแบบมือเปล่า เพราะค่าตอบแทนจากการได้ตำแหน่งแชมป์ K-1 และแชมป์โลกอื่นๆ นั้นถูกทางผู้จัดการและเทรนเนอร์ยึดไปหมด
มีเรื่องราวที่อธิบายว่าเขาชนะเงินรางวัลถึงสิบล้านเยนจาก K-1 MAX แต่บัวขาวกลับได้ค่าตัวเหลือเพียงสองหมื่นบาท ส่วนทาง ป.ประมุขกลับไล่ซื้อบ้านหลายหลัง ทั้งที่บัวขาวเป็นนักกีฬาตัวเต็ง แต่เขากลับไม่เหลืออะไรเป็นของตนเอง เมื่อรู้สึกว่าถูกหักหลังแบบนี้ บัวขาวจึงตัดสินใจเดินออกจากค่ายมวยนี้ไป
แต่ใช่ว่าจะจากกันได้ด้วยดี เพราะหลังมีข่าวออกมาในปี 2012 ทางค่ายป.ประมุขพยายามนำตัวบัวขาวขึ้นศาลและฟ้องเขาสูงถึง 100 ล้านบาท คิดเป็นเงินประมาณ 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จากนั้นบัวขาว บัญชาเมฆจึงก่อตั้งค่ายมวยของเขาเอง ด้วยชื่อของเขาเอง นั่นก็คือ ค่ายบัญชาเมฆ โดยค่ายนี้ช่วยปั้นนักมวยให้เป็นนักกีฬามืออาชีพ โดยไม่ให้มีเทรนเนอร์และผู้จัดการคอยเอาเปรียบนักชกรุ่นเยาว์
หัวหน้าเทรนเนอร์ค่ายบัญชาเมฆชื่อว่าครูดี ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง VICE ไว้ในปี 2015 ว่า
“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเงินผมอยากมอบชีวิตที่ดีขึ้นให้กับเด็กๆพวกนี้กิจกรรมวินัยสิ่งที่ผมคาดหวังว่าจะได้ตอบแทนก็คือให้พวกเขาเข้าสังเวียนใหญ่ๆแล้วหันกลับมาเจอผมแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว”
บัวขาวเสริมหลักการของเขาด้วยว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาชนะ
“ผมสอนให้เขาเคารพพ่อแม่เคารพผู้ใหญ่สิ่งสำคัญสำหรับผมคือการที่เด็กๆดูลตัวเองได้ผมอยากให้เด็กๆรู้ว่ามวยไทยคือหนทางให้รอดพ้นจากความยากจนแต่ทางอื่นๆมันก็มีเหมือนกันเช่นการเป็นคนดีการใช้ความคิดและทักษะของตนเอง”
บัวขาวคือซูเปอร์สตาร์
บัวขาว บัญชาเมฆคือผู้ที่ไม่เคยหยุดต่อสู้ ในเส้นทางอาชีพนี้บัวขาวมีความสำคัญหลายอย่าง เขาทำให้บัตรสนามมวยในไทยขายหมดเกลี้ยง และเขายังเคยชกต่อหน้าพระพักตร์ราชวงศ์ไทย นอกจากนี้ บัวขาวมักได้รับการเฉลิมฉลองด้วยการมีวันหยุดประจำชาติในไทย
ตำนานของบัวขาว เห็นได้ชัดเจนในนักมวยรุ่นใหม่ ในบทสัมภาษณ์หนึ่งกับทิม วีตัน อดีตแชมป์โลกคิกบ็อกซิง ONE ซูเปอร์บอน สิงห์มาวินอธิบายไว้ว่า
“ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลยเขาทำมาหมดเป็นแบบอย่างสำหรับผมและทุกคนในไทยเลยครับ”
ยอดนักชกมวยไทยอย่างตะวันฉาย พีเค แสนชัย ยังออกปาปฏิเสธว่าไม่อยากให้เอาตนเองไปเทียบกับพี่บัวขาว โดยแชมป์โลกมวยไทย ONE รายนี้กล่าวกับทิม วีตันว่า
”ผมไม่อยากให้เอาตัวผมไปเปรียบกับฮีโร่อย่างบัวขาวเลยครับผมชื่นชมเขามาก!”
ขนาดซูเปอร์สตาร์มวยไทยอย่างรถถัง จิตเมืองนนท์ก็กล่าวว่าแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดของเขาคือนายขนมต้ม บิดาแห่งมวยไทย และบัวขาวนี่เอง แชมป์มวยไทย ONE รายนี้กล่าวว่า
“ตำนานหรือคนที่ผมเคารพจริงๆก็คือนายขนมต้มผู้เป็นนักชกในตำนานคนหนึ่งของประเทศไทยส่วนอีกคนก็คือพี่บัวขาวที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมชกมวย [ไทย] ครับ”
โดยสรุปแล้ว เส้นทางของบัวขาวจากเด็กชายคนที่มีแรงบันดาลใจในการชกมวยไทย สู่การเป็นดาวเด่นในวงการกีฬาการต่อสู้นั้น ช่างเป็นเส้นทางที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ความทุ่มเทยาวนานหลายปี การฝึกซ้อมอย่างไม่ย่อท้อ ทำให้บัวขาวเติบโตและไต่เต้าสู่จุดสูงสุดของโลกแห่งคิกบ็อกซิ่ง สามารถคว้าชัยชนะระดับโลกมาได้มากมาย อีกทั้งยังชนะใจทั้งแฟนๆ และนักชกคนอื่นๆ
บัวขาวประสบความสำเร็จได้แม้ถูกหักหลังและเผชิญความยากลำบากทางการเงิน ทำให้ยิ่งเห็นชัดถึงความมุมานะ ความหลงใหลและแรงขับที่เขามีต่อกีฬาชนิดนี้ นอกจากนั้นตัวเขาเองยังส่งผลไปไกลกว่าเพียงความก้าวหน้าของตนเอง เพราะเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักชกไทยรุ่นใหม่ ฝังตราประทับเอาไว้ในโลกการต่อสู้ ทักษะที่เหนือชั้นของบัวขาว ตำนานและความสำคัญ รวมถึงการก่อตั้งค่ายมวยของตนเองเพื่อให้การสนับสนุนนักกีฬาเยาวชน ทำให้บัวขาวบัญชาเมฆเสริมสร้างสถานะของเขาให้มั่นคงยิ่งขึ้นในฐานะซูเปอร์สตาร์และแสงแห่งความหวังของนักสู้ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ